โจน ออสบอร์น (Joan Elizabeth Osborne) เป็นศิลปินหญิงชาวอเมริกันที่มีความโดดเด่นในวงการเพลงมาตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 เธอได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางในฐานะนักร้องและนักแต่งเพลงผู้มากความสามารถ ซึ่งมีสไตล์ดนตรีหลากหลายผสมผสานระหว่างร็อก โซล บลูส์ คันทรี และฟังก์


ชื่อของโจน ออสบอร์น อาจเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายจากเพลง “One of Us” ที่ออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1995 ซึ่งกลายเป็นเพลงฮิตถล่มทลาย ทั้งในอเมริกา ยุโรป และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก แต่จุดเด่นในชีวิตและผลงานของเธอไม่ได้หยุดอยู่เพียงเพลงดังเพลงเดียวเท่านั้น ตลอดเส้นทางอาชีพที่ยาวนานกว่า 30 ปี เธอได้พิสูจน์ฝีมือทั้งในการร้องเพลงสดอันทรงพลัง การตีความดนตรีสไตล์เก่าและใหม่ รวมถึงการทำงานร่วมกับศิลปินคนอื่นอย่างหลากหลาย


นับตั้งแต่แรกเริ่มในวงการเพลง โจน ออสบอร์นเป็นผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่มีความละมุนผสมกับความหนักแน่นอันมีเสน่ห์ หรือรูปแบบการเรียบเรียงดนตรีที่บางครั้งก็เน้นส่วนผสมของกีตาร์อะคูสติก เปียโน หรือเบสไลน์แน่นๆ ที่ชวนให้คนฟังขยับตาม การที่เธอสามารถประคองตัวให้อยู่ในเส้นทางสายดนตรีได้อย่างยาวนาน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ย่อท้อและการพัฒนาตนเองของศิลปินผู้นี้ ซึ่งเมื่อติดตามฟังผลงานของเธอจะพบว่านอกจากจะมีลูกเล่นที่น่าสนใจในการร้องและเรียบเรียงดนตรีแล้ว เธอยังให้ความสำคัญกับเนื้อหาและสาระในเพลงอย่างมาก ทั้งในมิติศาสนา สังคม ความรัก ไปจนถึงความรู้สึกในมิติส่วนตัว



จุดเริ่มต้นของโจน ออสบอร์นย้อนกลับไปตั้งแต่เธอเกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1962 ที่เมืองแองเคอเรจ รัฐเคนทักกี ประเทศสหรัฐอเมริกา วัยเด็กของเธออาจไม่ได้ถูกหล่อหลอมโดยครอบครัวดนตรี แต่เธอกลับสนใจด้านการร้องเพลงอย่างจริงจังในช่วงวัยเรียน และเมื่อย้ายไปอยู่ที่มหานครนิวยอร์กเพื่อเรียนภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เธอค้นพบว่าดนตรีเป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตได้มากกว่า จึงค่อยๆ เริ่มร้องเพลงในไนต์คลับเล็กๆ ของนิวยอร์ก และได้พบปะกับนักดนตรีหลายแขนง ทั้งศิลปินบลูส์ แจ๊ซ และโฟล์ก ทำให้เธอได้ซึมซับมุมมองทางดนตรีและสไตล์การเล่นของคนต่างๆ มาเป็นแรงบันดาลใจ


ในช่วงแรกๆ ของการเป็นนักร้องอาชีพ โจน ออสบอร์นเริ่มต้นจากการเปิดแสดงในคลับหลายแห่งย่านกรีนิชวิลเลจ และย่านดาวน์ทาวน์ของนิวยอร์ก ผู้ฟังต่างประทับใจในลูกคอที่ก้องกังวานและน้ำเสียงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ต่อมาเธอได้ก่อตั้งค่ายเพลงอิสระเล็กๆ ที่ชื่อว่า Womanly Hips เพื่อผลิตผลงานของตนเอง เนื่องจากเธอมีวิสัยทัศน์ที่อยากทำเพลงอย่างอิสระ และยังเป็นโอกาสให้เธอได้ดูแลจัดการทิศทางดนตรีให้สอดคล้องกับอุดมคติของตัวเองในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากมีพื้นที่เสียงในวงการเพลง ด้วยความกล้าได้กล้าเสียนี้ ส่งผลให้เธอเริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้นในแวดวงนักดนตรีอินดี้



ผลงานเพลงที่ทำให้ชื่อของโจน ออสบอร์นเป็นที่รู้จักในระดับสากลอย่างแท้จริง คืออัลบั้ม “Relish” (1995) ที่ภายในมีเพลงฮิต “One of Us” เนื้อหาของเพลงพูดถึงข้อสงสัยเชิงปรัชญาและศาสนา ถ้าพระเจ้ามาอยู่กับเราบนโลกนี้ในฐานะมนุษย์ “พระองค์จะเป็นเหมือนเราไหม” หรือ “พระองค์จะคิดอย่างไรกับสังคมแบบที่เรามีอยู่” คำถามในเพลงนำพาผู้ฟังมาทบทวนศรัทธาและเจตนาของศาสนา รวมถึงโครงสร้างสังคมในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนยุคนั้นหันมาสนใจเรื่องจิตวิญญาณและศาสนาในแบบใหม่มากขึ้น ความลึกซึ้งทางความคิดและท่วงทำนองติดหูของเพลง ทำให้ “One of Us” ทะยานขึ้นสู่ชาร์ตเพลงสำคัญของสหรัฐฯ และยุโรปอย่างรวดเร็ว และยังเป็นเหตุให้โจน ออสบอร์นได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในหลากหลายสาขา รวมถึงสาขาอัลบั้มแห่งปี


หลังการประสบความสำเร็จของอัลบั้ม “Relish” โจน ออสบอร์นยังคงไม่หยุดยั้งในการทำเพลงแนวใหม่และทดลองผสมผสานแนวดนตรีหลากหลาย อัลบั้มถัดมาอย่าง “Righteous Love” (2000) ยังคงรักษาเสน่ห์ในเชิงโซลและบลูส์เอาไว้ แต่ก็มีทำนองที่เน้นร็อกหนักแน่นยิ่งขึ้น เธอแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการในฐานะศิลปินที่สามารถเดินหน้าไปพร้อมๆ กับสุนทรียภาพที่หลากหลาย แล้วในช่วงทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา เธอก็ได้ปล่อยอัลบั้มอื่นๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น “How Sweet It Is” (2002) ที่เป็นการคัฟเวอร์เพลงโซลและอาร์แอนด์บีคลาสสิกได้อย่างน่าประทับใจ แสดงถึงความเคารพต่อต้นแบบดนตรีที่เธอชื่นชอบ อีกทั้งยังเป็นการตีความเพลงยุคเก่าให้เข้ากับมุมมองใหม่ได้อย่างลงตัว


นอกจากผลงานอัลบั้มเดี่ยวแล้ว โจน ออสบอร์นยังมีชื่อเสียงด้านการร่วมงานกับศิลปินชื่อดังและวงดนตรีระดับตำนาน เธอเคยร่วมทัวร์คอนเสิร์ตกับวง The Dead ซึ่งเป็นสมาชิกที่เหลือของวง Grateful Dead หลังการเสียชีวิตของเจอร์รี การ์เซีย เธอเคยร่วมร้องเพลงกับ The Funk Brothers ในสารคดีดนตรีเรื่อง “Standing in the Shadows of Motown” (2002) ซึ่งเป็นการเชิดชูบทบาทผู้เล่นเครื่องดนตรีแบ็กอัพในตำนานของค่ายเพลงโมทาวน์ การทำงานร่วมกับคนกลุ่มนี้เปิดโอกาสให้เธอได้เจอกับมุมมองการเล่นดนตรีของมืออาชีพระดับตำนาน และยังเป็นการขยายขอบเขตความสามารถของเธอในการผสมผสานเสียงร้องโซลและบลูส์ในแนวที่ยังเข้าถึงง่าย


เสน่ห์อีกด้านของโจน ออสบอร์น คือการเป็นนักร้องสดบนเวทีที่มีพลังอย่างยิ่ง เธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าเคล้าบรรยากาศเศร้าหรือเพลงเร็วที่เน้นจังหวะสนุกสนาน บ่อยครั้งผู้ชมคอนเสิร์ตจะประทับใจเมื่อได้เห็นว่าเธอใส่อารมณ์และเทคนิคการร้องลงไปในแต่ละเพลงอย่างใส่ใจ แม้ว่าบางครั้งเธอจะหยิบเพลงจากศิลปินคนอื่นมาคัฟเวอร์ แต่เธอก็สามารถดัดแปลงสไตล์และใส่ลูกเล่นให้ต่างจากต้นฉบับได้อย่างโดดเด่น อีกทั้งเนื้อเสียงของเธอที่มีความหนาแน่นและอบอุ่น ผสมกับภาษากายอันเป็นธรรมชาติและการสื่อสารบนเวที ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ชิดกับศิลปินในบรรยากาศที่เป็นกันเอง


นอกเหนือจากทางด้านดนตรี โจน ออสบอร์นยังเป็นผู้ที่ให้ความสนใจในประเด็นสังคมและการเมือง เธอเคยสนับสนุนโครงการการกุศลและการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์ในยุคที่สังคมยังมีทัศนคติลบต่อผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างกว้างขวาง เธอให้เหตุผลว่าการเป็นศิลปินไม่ควรจำกัดอยู่แค่การร้องเพลงอย่างเดียว แต่ต้องใช้พื้นที่สื่อสารของตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะพูดถึงประเด็นทางสังคม สงคราม และศาสนา ในบทเพลงหรือบนเวทีคอนเสิร์ต


ในช่วงปี ค.ศ. 2010 เป็นต้นมา โจน ออสบอร์นยังคงออกผลงานสม่ำเสมอ เช่น อัลบั้ม “Little Wild One” (2008), “Love and Hate” (2014) ไปจนถึงงานคัฟเวอร์อย่าง “Songs of Bob Dylan” (2017) ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ที่เธอหยิบยกเพลงของบ็อบ ดีแลน ศิลปินโฟล์กและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม มาตีความใหม่ในแนวของเธอ จุดเด่นของอัลบั้มดังกล่าวคือ เธอเลือกเพลงทั้งที่เป็นเพลงฮิตและเพลงที่อาจจะไม่ค่อยได้รับความนิยมในตลาดกระแสหลัก มาปรุงรสด้วยอารมณ์โซลและบลูส์สมัยใหม่ ทำให้ผลงานเหล่านี้มีเอกลักษณ์และสะท้อนรสนิยมทางดนตรีที่กว้างขวางและไม่ซ้ำใคร



เรื่องราวชีวิตและผลงานของโจน ออสบอร์นบ่งบอกให้เห็นว่าเธอเป็นศิลปินที่พยายามข้ามข้อจำกัดของแนวดนตรีเพื่อมุ่งหาความจริงในเสียงเพลงของตนเอง ไม่ว่าเธอจะร้องเพลงป๊อป ร็อก โซล หรือบลูส์ เธอมักใช้เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ร่วมกับการแสดงอารมณ์ส่วนลึกของชีวิต ทำให้หลายเพลงของเธอมีความไพเราะโดดเด่นและจับใจแฟนเพลงหลากรุ่น บางครั้งเธอเลือกใช้ดนตรีเป็นเวทีบอกเล่าปรัชญาทางศาสนาหรือมุมมองต่อสังคม ส่วนบางครั้งก็ใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสร้างบรรยากาศความบันเทิงและความรื่นเริง เพื่อยืนยันว่าชีวิตมนุษย์ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยความตึงเครียดเสมอไป


หากเจาะลึกลงในแง่เทคนิคการร้องเพลง เสียงของโจน ออสบอร์นอยู่ในช่วงที่สามารถไต่โน้ตสูงได้ค่อนข้างดี และในโน้ตต่ำก็มีความกังวานลุ่มลึก จึงไม่ยากที่เธอจะดัดแปลงเทคนิคต่างๆ ตามความเหมาะสมของเพลงแต่ละเพลง ไม่ว่าจะเป็นการร้องผ่านเสียงหลบ (falsetto) เบาๆ ในท่อนที่ต้องการถ่ายทอดอารมณ์อ่อนโยน หรือจะเป็นการใส่ลูกคอโซลและบลูส์ที่มีความโหยหวนในท่อนฮุคที่ต้องการพลังอันเต็มเปี่ยม นอกจากนี้ สไตล์การร้องของเธอยังได้รับอิทธิพลจากนักร้องโซลในตำนาน เช่น แอรีธา แฟรงคลิน (Aretha Franklin) และอีตต้า เจมส์ (Etta James) อย่างเห็นได้ชัด ทั้งในเรื่องของการเว้นช่องว่าง การเน้นถ้อยคำ และการปล่อยอารมณ์เต็มที่แบบไม่กลัวทุ่มเสียง จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครหลายคนมองว่าเธอเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงที่สามารถนำความรู้สึกโซลและจิตวิญญาณบลูส์มาถ่ายทอดบนเวทีร็อกกระแสหลักได้ดีที่สุดคนหนึ่ง


ในด้านการแต่งเพลง โจน ออสบอร์นมักรวมทีมกับโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงมืออาชีพคนอื่นๆ แต่เธอเองก็มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการสร้างสรรค์ทุกขั้นตอน ทั้งการแต่งเนื้อร้อง ทำนอง และการเรียบเรียงวงดนตรี เธอให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องราวที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเพลงเกี่ยวกับความรัก ความศรัทธา ความเศร้าโศก ไปจนถึงการตั้งคำถามต่อเรื่องราวรอบตัว เพลงของเธอหลายเพลงไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ให้ผู้ฟังได้ถกเถียงกับตนเองหรือกับเพื่อนฝูงเกี่ยวกับหัวข้อที่บางครั้งก็ยากเกินกว่าจะจับต้องด้วยประโยคสั้นๆ แต่บทเพลงสามารถเปิดพื้นที่ให้ประสบการณ์ร่วมและความเข้าใจลึกซึ้งได้


อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้โจน ออสบอร์นยังคงมีแฟนเพลงเหนียวแน่น คือบุคลิกของเธอที่ค่อนข้างเป็นกันเองและตรงไปตรงมา เธอไม่ค่อยสร้างภาพลักษณ์ที่หรูหราเป็นดาราดัง และไม่ค่อยตามเทรนด์กระแสหลักอย่างสุดขั้ว หากแต่เลือกยืนอยู่ในจุดที่ตนเองสบายใจ จะแต่งกายด้วยเสื้อยืดหรือกางเกงยีนส์ธรรมดาบนเวทีคอนเสิร์ต หรือจะปรากฏตัวในลุคสบายๆ ระหว่างเดินสัมภาษณ์สื่อต่างๆ เธอก็ทำได้โดยไม่ติดขัด นอกจากนี้ เธอยังมักพูดถึงแรงบันดาลใจทางจิตวิญญาณ ความเชื่อ ความสงสัย และความเปราะบางของมนุษย์ในเชิงลึก ซึ่งสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเธอกับผู้ฟังได้อย่างจริงใจ



สำหรับผู้ที่เพิ่งทำความรู้จักกับโจน ออสบอร์นเป็นครั้งแรก เพลงอย่าง “One of Us” อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าใจสไตล์การร้องและความคิดของเธอ แต่ถ้าอยากสัมผัสถึงความสามารถรอบด้านมากขึ้น อาจต้องลองฟังเพลงอื่นๆ อย่าง “St. Teresa”, “Right Hand Man” ในอัลบั้ม “Relish” หรือเพลงคัฟเวอร์ต่างๆ ใน “How Sweet It Is” และ “Songs of Bob Dylan” ก็จะพบแง่มุมใหม่ๆ ของเธอ แต่ละเพลงจะสะท้อนถึงความหลงใหลในเสียงดนตรีที่มีรากลึก และความสามารถในการนำเสนอเนื้อหาให้เข้าถึงจิตใจผู้ฟัง


ในแง่รางวัลและความสำเร็จ โจน ออสบอร์นเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงหลายรางวัลแกรมมี่ แม้จะไม่ได้คว้ารางวัลมาทุกรอบ แต่การได้เข้าชิงในหลากหลายสาขา แสดงให้เห็นถึงการเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมเพลง ทั้งในฐานะนักร้อง นักแต่งเพลง และในฐานะผู้ผลิตผลงานดนตรีที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ เธอยังได้ขึ้นแสดงในรายการโทรทัศน์และเวทีระดับโลกหลากหลาย เช่น การแสดงในงานประกาศรางวัลใหญ่ๆ และเทศกาลดนตรีในยุโรปหลายประเทศ รวมถึงมีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์การกุศลที่เกี่ยวข้องกับดนตรีและสิทธิมนุษยชน ซึ่งยิ่งตอกย้ำความเป็นศิลปินที่มีจิตสาธารณะของเธอ



ตลอดระยะเวลากว่าสามทศวรรษในวงการเพลง โจน ออสบอร์นแสดงให้เห็นว่าเธอสามารถปรับตัวตามกระแสเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเพลงได้เป็นอย่างดี แม้ในยุคที่สตรีมมิ่งครองตลาดและศิลปินบางคนต้องปรับภาพลักษณ์เพื่อเรียกความสนใจจากโซเชียลมีเดีย เธอก็ยังคงเป็นตัวของตัวเองอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และยังคงคุณภาพงานเพลงที่แฟนเพลงสามารถเชื่อถือได้ ส่งผลให้ชื่อเสียงของเธอยังไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา และยังมีแฟนเพลงกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้นจากการฟังเพลงเก่าๆ ที่ถูกหยิบยกมาเล่นใหม่หรือฟังผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล


ท้ายที่สุด ชื่อของโจน ออสบอร์นก็ได้กลายเป็นตำนานขนาดย่อมของวงการเพลงในแง่ความเป็นศิลปินหญิงที่กล้าขบคิด ตั้งคำถาม ทดลองสร้างสรรค์ และยืนหยัดบนเส้นทางของตนเอง แม้จะเผชิญแรงกดดันในยุคสมัยที่ภาพลักษณ์และการตลาดมักมาเหนือคุณภาพผลงาน เธอก็เลือกจะพิสูจน์ตัวเองด้วยพลังเสียงที่นุ่มลึกกับเมโลดี้ที่มีเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองร็อกเร้าใจหรือโซลอ่อนหวาน การข้ามขีดจำกัดของแนวดนตรีและการทุ่มเทสร้างงานคุณภาพ คือสิ่งที่คอยผลักดันให้เธอยังคงเป็นชื่อที่น่าจับตาในประวัติศาสตร์เพลงอเมริกัน หากพูดถึงศิลปินหญิงที่มีบทบาทในการเชื่อมสะพานระหว่างดนตรีป๊อปกระแสหลักกับวัฒนธรรมโซลและบลูส์ของชนผิวดำ โจน ออสบอร์นย่อมอยู่ในรายชื่อศิลปินผู้นั้นอย่างแน่นอน


ดังนั้น หากจะกล่าวโดยสรุป โจน ออสบอร์นเป็นศิลปินหญิงที่มากความสามารถ ผู้บุกเบิกผสมผสานแนวดนตรีหลายรูปแบบเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เสียงของเธอเป็นเสมือนเครื่องมือสื่อสารความคิดและอารมณ์ที่เข้าถึงผู้คนหลากหลาย ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเพลงร็อก โซล บลูส์ หรือกอสเปล ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับเพลงของเธอได้ไม่ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ผลงานเพลงของเธอมักสอดแทรกคติทางศาสนาและมุมมองทางสังคม ทำให้บทเพลงไม่ได้มีแค่ความไพเราะด้านดนตรีเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้เราตั้งคำถามและทำความเข้าใจกับโลกใบนี้ในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นอีกด้วย ชื่อของโจน ออสบอร์นจึงควรถูกจารึกไว้ในฐานะศิลปินหญิงแห่งยุคคนสำคัญ ที่ได้สร้างมรดกทางดนตรีและแนวคิดให้แก่คนรุ่นหลังได้อย่างน่าชื่นชมและเป็นแรงบันดาลใจเสมอมา


Added by

admin

SHARE